วันนี้เราจะมาพูดเรื่องขนๆ กันนะคะสาวๆ เอ๊ะทำไมถึงเจาะจงที่สาวๆหละ เพราะวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง แว๊กซ์ vs เลเซอร์ สาวๆหลายคนคงรู้จักเป็นอย่างดีเลย ระหว่างสองตัวนี้แล้วอย่างไหนถึงจะตอบโจทย์กันแน่หละ วันนี้เราจะพามาทำความรู้จัก ว่าแว๊กซ์กับเลเซอร์เนี่ยแบบไหนที่เหมาะกับเรามากที่สุด
การแว็กซ์ขน (Waxing)
การแว๊กซ์ขน มี 2 แบบด้วยกัน คือ การแว็กซ์ร้อน (Hot Wax) และ การแว็กซ์เย็น (Strip Wax)
1. การแว็กซ์ร้อน (Hot Wax)
แว็กซ์ร้อน (Hot Wax) การแว็กซ์ร้อนจะมีความซับซ้อนมากกว่าการแว็กซ์เย็น เพราะจะต้องนำไปอุ่นร้อนให้เนื้อแว็กซ์ละลายก่อนและเหลวมากพอสำหรับนำไปใช้ และเมื่อได้อุณหภูมิที่เหมาะสม ก็เข้าใส่ขั้นตอนการนำลงผิวและเส้นขน เนื้อแว็กซ์จะสัมผัสกับอากาศทำให้เย็นตัวลงจนเซ็ตตัว มีลักษณะเหมือนไปกำเส้นขนที่ใกล้กับผิวหนังของเรา เวลาดึงแผ่นแว็กซ์จะทำการถอนได้ถึงรากมากกว่าแบบเย็นนั่นเอง
2. การแว็กซ์เย็น (Strip Wax)
แว็กซ์เย็น (Strip Wax) เป็นการแว็กซ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมากที่สุด ใช้น้ำตาล น้ำ และน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบ เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไม่เคยแว๊กซ์และสาวๆ ผิวแพ้ง่าย เพราะมีส่วนผมหลักจากธรรมชาติช่วยให้ไม่ระคายผิว แต่การแว็กซ์ร้อนจะต้องใช้ความชำนาญเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี เพราะเวลาดึงออกจำเป็นต้องแรงและเร็ว ย้อนทิศทางแนวขน หากทำผิดวิธีอาจทำให้ขนขาดระหว่างเส้นได้
ข้อดีของการแว็กซ์ขน
- ขนที่ขึ้นมาใหม่จะมีความนิ่ม น้อยลง และขนจะเส้นบางลง
- มีความประหยัดเพราะมีราคาที่ถูกกว่าการเลเซอร์ขน
- สามารถทำเองได้ที่บ้าน
ข้อเสียของการแว๊กซ์ขน
- เจ็บ เพราะต้องใช้แว็กซ์ดึงออกมา
- หากทำไม่ถูกวิธี อาจไม่ได้ประสิทธิภาพ และเกิดการระคายเคืองหรือเป็นแผลได้
- กำจัดขนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เลเซอร์กำจัดขน (Laser Hair Removal)
การเลเซอร์ขน มี 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ Alexandrite, Ruby, Yag และ Diode
1. Long-pulse Alexandrite Laser
Long-pulse Alexandrite Laser เป็นเลเซอร์คลื่นพลังงานที่มีช่วงความยาวคลื่นอยู่ที่ 755 nm โดยเป็นคลื่นเลเซอร์ที่ใช้ผลึกอเล็กแซนไดร์เป็นตัวกลางในการผลิตแสง ทำให้สามารถลงลึกได้ดีกว่า และสามารถจับเม็ดสีได้ดีกว่าคลื่นพลังงานเลเซอร์แบบ Long-pulse Ruby Laser และ IPL ทำให้มีประสิทธิภาพในการกำจัดขนได้ดี
2. Long-pulse Ruby Laser
Long-pulse Ruby Laser เป็นเลเซอร์ที่ใช้ตัวกลางในการผลิตแสงเป็นผลึกของแข็ง (ผลึกทับทิม) มีลักษณะของคลื่นพลังงานความยาวคลื่นอยู่ที่ 694 nm เนื้อเยื่อเป้าหมายคือเม็ดสีเมลานิน และสามารถทำการกำจัดขนได้ถึงชั้นผิวหนังชั้นกลาง
3. Long-pulse Nd: Yag Laser
Long-pulse Nd: Yag Laser เป็นเลเซอร์กำจัดขนที่เรียกได้ว่าได้รับความนิยมมากที่สุด โดย Yag Laser จะใช้คลื่นพลังงานเลเซอร์ที่มีความยาวของคลื่นอยู่ที่ 1964 nm ซึ่งจะสามารถทำให้ลงลึกไปในผิวหนังชั้นลึกได้ถึง 7 มิลลิเมตร และสามารถจับกับเม็ดสีของเส้นขนได้ดี จึงทำให้กำจัดเส้นขนได้อย่างหมดจด
4. Diode Laser
Diode Laser เป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นตั้งแต่ 800-810,940 หรือ 1,350-1,064 nm เนื้อเยื้อเป้าหมายคือเมลานินในรูขุมขน หรือเม็ดสีบริเวณรากขน เลเซอร์จะกำจัดขนได้ถึงชั้นผิวหนักส่วนลึก ทำให้มีความสามารถในการกำจัดขนสูงเมื่อเทียบกับการใช้เลเซอร์อื่นๆ
IPL (Intense Pulse Laser)
สาวๆ หลายๆ คนคิดว่า IPL เป็นหนึ่งในชนิดของเลเซอร์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย IPL ไม่ได้จัดอยู่ในเลเซอร์ เพราะว่าไม่ใช่พลังงานเลเซอร์ เป็นแค่แสงความเข้มข้นสูงเท่านั้น แม้จะทำลายรากขนได้ แต่ไม่สามารถทำลายได้ทั้งหมด ทำให้อาจยังหลงเหลือเส้นขนอยู่
ข้อดีของการทำเลเซอร์
- กำจัดขนได้ถึงโคนราก
- หากทำซ้ำบ่อยๆ จะทำให้ขนขึ้นใหม่ช้าหรือไม่ขึ้นมาอีก
- กำจัดขนได้ในระยะยาว
- ผิวหนังเรียบเนียนไม่บอบช้ำ
- เห็นผลทันที
- ปลอดภัย
ข้อเสียของการทำเลเซอร์
- ราคาสูงเมื่อเทียบกับการกำจัดขนแบบอื่นๆ
- ควรทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ถึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- หลักการทำเลเซอร์ เมื่อทำแล้วควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด
ถ้าสาวๆเห็นข้อแตกต่างขนาดนี้แล้ว ขึ้นอยู่ที่สาวๆแล้วหละว่าจะเลือกวิธีไหน และการกำจัดขนมีหลายรูปแบบให้เลือก สาวๆ ต้องเลือกสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลตามมาทีหลังนะคะ เพราะถ้าเกิดมีอาการแพ้ในอนาคตหรือมีแผลเนี่ย เราต้องแก้ไขกันยาวๆเลย ตัดสินใจให้ดีนะคะ